My Stories

My Stories

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

อกกระชับเต่งตึง...ไม่หย่อนยาน..

อกกระชับต่งตึง...ไม่หย่อนยาน..
วันนี้เรามีเคล็บเรื่องหน้าอกมาฝากคุณผู้หญิงรักสวยรักงามกันอีกแล้วค่ะ นั่นคือ วิธีทำให้หน้าอกกระชับ "เต่งตึง...ไม่หย่อนยาน" เพราะมีคุณผู้หญิงหลาย ๆ ที่พอเริ่มมีอายุมากก็มักจะมีการกังวลกันเรื่อง หน้าอกไม่กระชับ เต่งตึง เรารู้ว่ามีคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ปัญหานี้จะหมดเมื่อคุณได้มาเจอเราค่ะ เพราะว่าเรานำ วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ และด้วย วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน นี้จะช่วยให้คุณมีหน้าอกที่กระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน อีกต่อไปอย่างแน่นอนเลยค่ะ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเราก็มาดู วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง กันเลยดีกว่าค่ะ..




5 วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง
1. ดูแลหน้าอกตั้งแต่วัยสาว ด้วยการเริ่มใส่เฟิร์สบราเมื่อเริ่มมีหน้าอก
2. สวมใส่บราเพื่อไม่ให้หน้าอกต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไปยกเว้นตอนนอนไม่ควรใส่
3. เลือกใส่บราให้เหมาะสมกับขนาดของทรวงอก เช่น คนหน้าอกใหญ่ควรเลือกบราที่มีแถบลำตัวกว้างสายบ่าหนาเพื่อกระจายการรับ น้ำหนักและกิจกรรม เช่น เมื่อออกกำลังกายควรเลือกใช้สปอร์ตบราเพื่อรองรับน้ำหนักของทรวงอกไม่ทำให้ เส้นยึดเต้านมทำงานหนักเกินไป
4. มั่นบริหารทรวงอกด้วยท่ากระชับทรวงอก
5. ใช้ครีมกระชับทรวงอกควบคู่ไปกับนวดกระชับทรวงอกทุกเช้า-เย็นอยู่เสมอ
Tip
การบริหารทรวงอกให้ได้ผลควรแขม่วท้องขณะทำท่าต่าง ๆ และหลังจากบริหารควรราดน้ำเย็นที่อกหรือใช้ครีมนวดกระชับทรวงอกเพื่อให้ทรวง อกกระชับและทำให้อกสวย

โยคะหน้าช่วยริ้วรอยได้...

โยคะหน้าช่วยริ้วรอยได้...
การเล่นโยคะ ถือว่าเป็นการออกกำลังที่ดีมากอย่างหนึ่ง เพราะสามารถบริการร่างกายได้ทุกสัดส่วน จนเป็นที่นิยมมากในหมู่ของสาวๆ ยุคใหม่ และล่าสุดได้มีการค้นพบการเล่นโยคะทางใบหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าจางลงได้ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น และไฮไลท์ก็อยู่ที่สามารถช่วยให้ใบหน้ามีผิวที่เต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์อีกด้วยค่ะ ซึ่งวันนี้ก็มีขั้นตอนการทำโยคะใบหน้ามาฝากกันด้วยถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ
 
ยืดเส้นกล้ามเนื้อก่อนเริ่มทำโยคะ
            หลังจากล้างหน้า ทาครีมบำรุงผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมาเริ่มการยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของใบหน้าเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมในการทำโยคะขั้นต่อไปนะคะ โดยทุกท่าจะทำ 3 – 5 ครั้ง ดังนี้

- หน้าผาก ใช้นิ้วชี้กดตรงโคนผมเพื่อให้ผิวยืด จากนั้นใช้นิ้วกลางหรือนิ้วนางกดลูบผิวลงมาบริเวณหน้าผากช้า ๆและพยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลายแบบสบายๆ

- ระหว่างคิ้ว เอานิ้วที่ถนัดที่สุดวางไว้ระหว่างคิ้ว จากนั้นก็ออกแรงกดเบาๆ แล้วลูกออกไปด้านข้าง

 -จมูก ลูบตรงกลางสันจมูกจากบนลงล่าง เสร็จแล้วลูบออกไปด้านข้างตามแนวของกล้ามเนื้อ

 -รอบบริเวณดวงตา เอานิ้วมื้อกดที่หัวตาเบาๆ แล้วลูบออกไปด้านข้าง ทั้งบนและล่างให้ครบ

 -ริมฝีปาก ใช้นิ้วกดเบาๆ ให้ทั่วมุมปาก แล้วค่อยๆ ลูบออกไปทั้ง 4 ทิศ ทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง

 -คอและคาง วางมือลงบนกระดูกไห้ปลาร้า แล้วลากมือเฉียงผ่านลำคอข้างๆ ขึ้นไปจนถึงหู จากนั้นวางมือลงบนกระดูกขากรรไกร ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางนวดแนวกระดูกขากรรไกร จากคางขึ้นไปถึงหู
 
การทำโยคะทางใบหน้า

            เมื่อยืดเส้นกล้ามเนื้อเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปก็ให้ออกกำลังกายใบหน้าต่อ โดยพยายามเกร็งกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ได้มากที่สุด

 หน้าผาก ย่นหน้าผากค้างไว้ 3 นาที แล้วปล่อย จากนั้นทำซ้ำ 3 – 5 ครั้ง

 รอบดวงตา หลับตาหรือหยีตาให้ปี๋ที่สุด

 ริมฝีปาก ยิ้มให้เต็มที่แบบสุดๆ

 จมูก ย่นจมูกให้อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าย่นเข้าหากันให้ได้มากที่สุด

            หลังจากทำเสร็จแล้วครบทุกส่วนบนใบหน้า ควรต่อด้วยการยืดเส้นกล้ามเนื้อตลอดทั้งตัว จะได้บริหารให้ครบทุกสัดส่วนค่ะ ...

วิธีลดหน้าท้อง หมดปัญหาหน้าท้องยื่น..

วิธีลดหน้าท้อง..

รูปร่างมีความสำคัญทางด้านจิตใจต่อทุกเพศทุกวัยในปัจจุบันนี้ ทุกคนมีความรู้สึกว่า หุ่นที่ดีสร้างความ มั่นใจให้ตนเองได้อย่างมาก   หน้าท้องก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาของคนที่มีปัญหาทางด้านรูปร่าง เพราะคนมักกังวลว่า หน้าท้องที่ใหญ่นั้นทำให้ใส่เสื้อผ้าไม่สวย ทำอะไรอืดอาด และแลดูแก่ก่อนวัย หน้าท้องใหญ่ ไม่ได้เป็นปัญหาแค่ผู้หญิงเท่านั้น  แต่ยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชายหนุ่มทั่วไปด้วย

   เพราะสำหรับผู้ชายแล้ว หน้าท้องเป็นส่วนที่ลดได้ยากที่สุด  เราจึงควรมีวิธีการลดหน้าท้องต่างๆ เพื่อปรับสภาพร่างกายของเรา ให้อยู่ในสภาพที่ปกติผู้ที่ต้องการหา วิธีลดหน้าท้อง นั้น มีวิธีการไม่ยากเลย เพียงแค่เราควบคุมอาหารและออกกำลังกายตามคำแนะนำเราก็จะสามารถมีรูปร่างที่สวยงามได้ไม่ยาก


วิธีการลดหน้าท้อง
  1. ลดอาหารประเภทเกลือ เช่น อาหารหมักดอง อย่าง เบียร์ เหล้า เป็นต้น อาหารที่มีความเค็ม มีรสเค็มจัดเพราะการรับประทานอาหารที่มีเกลือเป็นจำนวนมากนั้น ทำให้ร่างกายบวมน้ำตาม
    ไปด้วย
  2. รับประทานน้ำเปล่าให้มาก เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย
  3. ลดอาหารประเภทที่มีแก๊สมาก จำพวกน้ำอัดลม  ถั่ว  บร็อคโคลี่ ฯลฯ 
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชม.
  5. ออกกำลังกาย โดยการเดิน เพราะการเดินนอกจากจะทำให้ลดต้นขาได้แล้วนั้น การเดินยังช่วยทำให้กระชับหน้าท้องของเราด้วย เพราะเวลาเดิน หน้าท้องของเราจะเกร็งไปโดยอัติโนมัติ 
  6. ออกกำลังกายเฉพาะสัดส่วนที่เน้นบริหารส่วนหน้าท้อง วิธีการลดหน้าท้องวิธีนี้เป็นวิธีการที่ตรงจุดที่สุดและได้ผลมากที่สุด

ต่อไปนี้จะเป็นวิธีลดหน้าท้องให้มีสัดส่วนสวยงาม 
ท่าที่ 1. นอนตะแคง หนุนศรีษะด้วยแขน โดยให้ตั้งศอกขึ้นมา แล้วเอามือรองรับศรีษะไว้ จากนั้น ให้ยกขาด้านตรงข้ามกับมือที่ตั้งศอกขึ้น ยกขาขึ้น 90 องศา จนขาสุงเท่าระดับสะโพก แล้ว ค้างไว้ หายใจเข้าลดขาลงแล้วหายใจออก ทำอย่างนี้ 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 2. นอนหงาย นำมือประสานไว้ที่ท้ายทอย แล้วตั้งเข่าขึ้นมา ให้ยกเข่าขึ้นมาจนชิดหน้าอก โดยใช้เข่าขวา ยกขึ้นมาให้ชิดหน้าอกด้านซ้าย แตะสลับสองข้างไปมา จนครบ 20ครั้งละ 3 เซ็ท
ท่าที่ 3. ยืนตัวตรง แยกขาออกให้เท่ากับความกว้างของหัวไหล่ ยกมือสองข้างขึ้นเหนือศรีษะจับมือประสานกันไว้แล้วค่อยๆโยกตัวไปทางซ้าย ให้เกิดการตึงบริเวณด้านข้างลำตัว หายใจเข้า ค้างไว้ แล้วค่อยๆเอนตัวขึ้นตรงหายใจออก แล้วโยกตัวไปทางขวา จนเกิดการตึงบริเวณข้างลำตัว หายใจเข้า ค้างไว้ แล้วค่อยๆเอนตัวขึ้นตรงหายใจออก ทำอย่างนี้สลับกันไปมา 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 4. นอนคว่ำหน้า  ร่างกายเหยียดตรง แล้วค่อยๆยก มือ ทั้งสองข้าง และ เท้า ทั้งสองข้าง ขึ้น พร้อมๆกันหายใจเข้า ค้างไว้ แล้วค่อยๆลดมือและเท้าทั้งสองลง หายใจออก ทำอย่างนี้ 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 5. นอนหงายหน้า  ร่างกายเหยียดตรง ค่อยๆยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นตั้งฉากกับลำตัว หายใจเข้า ค้างไว้ แล้วค่อยๆลดเท้าลงมาให้ขนานกับพื้น หายใจออก ทำอย่างนี้ 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 6. เรียกว่าท่าปั่นจักรยาน ให้นอนหงาย หลังราบกับพื้น ค่อยๆยกสะโพกขึ้นมา ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมา แล้วทำการปั่นจักรยานอากาศ ทำอย่างนี้ 100 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 7. ยืนตรง กางขาออกให้เท่ากับความกว้างของหัวไหล่ แล้วเอามือแตะสะโพกทั้งสองข้าง ค่อยๆย่อเข่าลง จนก้นหย่อนจนตึงบริเวณด้านหลัง ค้างไว้ แล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้น หายใจออก ทำอย่างนี้ 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 8.  ยืนตัวตรง ขาชิดกัน แล้วค่อยๆ เอนลำตัวไปด้านข้าง ค้างไว้ หายใจออก แล้วค่อยๆหันลำตัวมาด้านหน้าจากนั้น เอนลำตัวไปอีกข้างหนึ่ง ค้างไว้ หายใจออก ทำอย่างนี้ 20 ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 9. คว่ำหน้า แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น มือ และเข่า ให้ชันเอาไว้ ค่อยๆยกขาขึ้น จนเกร็งที่ด้านหน้าท้อง ค้างไว้ หายใจออก ลดขาลง หายใจเข้า แล้ว ยกขาขึ้นอีกข้างหนึ่ง จนหน้าท้องเกร็งค้างไว้ ทำสลับสองข้างอย่างนี้ 20ครั้ง 3 เซ็ท
ท่าที่ 10. นอนหงายราบกับพื้น เอามือทั้งสองข้าง วางไว้ด้านข้างลำตัว ค่อยๆยกขาทั้งสองข้างขึ้นจนถึงระดับหน้าออก หายใจออก ค้างไว้ แล้วค่อยๆยกขาทั้งสองข้างลง หายใจเข้า ทำอย่างนี้20 ครั้ง  3 เซ็ท

นี่คือ 10 วิธีลดหน้าท้องได้ยกตัวอย่างให้ลองไปบริหารหน้าท้องดู เราจะเห็นว่า เสียเวลาแค่วันละไม่กี่นาที แต่คุณก็สามารถมีหน้าท้องที่สวยงามได้ในที่สุดโดยที่ไม่ต้องเสียสตางค์เลยสักบาท แถมเรายังได้สุขภาพที่ดี และได้ความมั่นใจกลับคืนมาด้วย

วิธีลดหน้าท้องเหล่านี้ จะได้ผลมิได้เลย ถ้าผู้ที่ต้องการจะลดนั้นไม่มีความเพียรพยายาม 
และอดทนทำมันขึ้นมาดังนั้นเมื่อเรารู้วิธีการเหล่านี้แล้ว
  เราควรปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวมา
ข้างต้นเพื่อให้เรามีรูปร่างที่สวยงามต่อไป

ทําอย่างไรให้ผมยาวเร็ว? "วิธีทําให้ผมยาวเร็ว" อย่างได้ผลอยู่นี่แล้ว!...

ใครอยากผมยาวเร็ววันนี้ได้สมปราถนากันแล้วนะค่ะ กับวิธีทําให้ผมยาวเร็วอย่างได้ผลที่เรานำมาฝาก คนที่มักมีคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า "ทําอย่างไรให้ผมยาวเร็ว?" วันนี้ก็ได้เฮกันแล้วนะค่ะ เพราะ วิธีทําให้ผมยาวเร็ว นี้ช่วยคุณได้ แล้วคุณรู้ไหมค่ะว่าโดยปกติเส้นผมของคนเรานั้นจะยาวเดือนละครึ่งนิ้ว แต่ถ้าอยากให้ผมยาวเร็วกว่านี้ก็ต้องใช้ วิธีทําให้ผมยาวเร็ว สูตรนี้เลยนะค่ะ ต่อไปคงจะหมดคำถามที่ว่า "ทําอย่างไรให้ผมยาวเร็ว?" กันแล้วนะค่ะ และไม่ใช่แค่วิธีทําให้ผมยาวเร็วเท่านั้นนะค่ะเรายังมีวิธีดูแลผมสวยปิ๊งมาฝากอีกด้วยนะค่ะ นั้นไม่ต้องรอช้ามาดูวิธีทําให้ผมยาวเร็วกันเลยดีกว่าค่ะ...

ทําอย่างไรให้ผมยาวเร็ว? "วิธีทําให้ผมยาวเร็ว"


- หลังจากที่เราสระผมและนวดผมเรียบร้อยแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูค่อย ๆ ซับผมเบา ๆ แต่อย่าขยี้ผมแรง ๆ โดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้เส้นผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายและเร็วกว่าเดิม

- จากนั้นให้บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศีรษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก

- หากใครไม่สะดวกวิธีนี้ลองใช้สูตรดอกอันชัญดูก็ได้ค่ะ เพียงนำดอกอันชัญมาคั้นเอาน้ำจนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วงออกมา หลังจากนั้นนำไปหมักผมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมดูดกดำเงางามแถมยังยาวเร็วได้อีกด้วยคะ

- แต่ถ้าคุณเป็นคนผมแห้งต้องการให้ผมดูเงางามลองใช้แฮร์โค้ตประมาณ 2-3 หยด ชโลมและนวดให้ทั่วศีรษะ แต่ถ้าเป็นคนผมมันไม่ควรทำวิธีนี้นะคะ

- และที่สำคัญอย่าลืมที่จะทำทรีทเม้นสัปดาห์ละครั้งเพราะจะทำให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน..

รู้ทันการดูแลเส้นผม..

ผม หมายถึงเส้นผมที่อยู่บนหนังศีรษะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสีย ความร้อน และผิวหนังไม่ให้ได้รับอันตราย อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญต่อบุคลิกลักษณะของร่างกาย ซึ่งมีผลต่อจิตใจของคน ใครที่พบกับปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ผมหงอก อาจก่อให้เกิดปัญหาทางใจ เช่น ซึมเศร้า ขาดความมั่นใจในตนเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดกับใครก็คงไม่รู้

สาเหตุของปัญหาผม

ผลิตภัณฑ์ดูแลผมภัยร้ายใกล้ตัวที่คุณอาจไม่รู้

แชมพู

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผม คือสิ่งใกล้ตัวท่านแต่ถูกมองข้าม นั่นคือ แชมพูที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำ แม้บางท่านจะบอกว่าท่านเปลี่ยนยี่ห้อไปอยู่เรื่อยๆ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าสารทำความสะอาดที่ถูกผสมในแชมพูเกือบทุกยี่ห้อ (แม้ในแชมพูที่ผสมสมุนไพรและอ้างว่าจากธรรมชาติ) ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ชะล้างรุนแรงและมีความเป็นด่างสูง เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium lauryl sulfate; SLS) ซึ่งให้ฟองได้มาก ราคาถูก จึงเป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้งหลาย เช่นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดพื้น สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตกค้างสะสมและทำลายเซลผม (รวมถึงรากผม เซลสร้างเม็ดสี และเส้นผม) และเซลผิวหนัง เมื่อใช้บ่อยๆจะยิ่ง กระด้าง แห้ง แข็งเป็นไม้กวาด เริ่มหวีไม่อยู่ทรง  และทำให้หนังศีรษะมัน มากขึ้นเนื่องจากสารเหล่านี้เป็นสารชะล้างอย่างรุนแรงและจะชะล้างไขมันตาม ธรรมชาติ(ที่ช่วยเคลือบให้ผมมันเงา) จึงทำให้ร่างกายต้องขับไขมันออกมาชดเชยมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุของคนที่หนังศีรษะมันยิ่งสระผมหนังศีรษะก็ยิ่งมัน บางรายเกิดการระคายเคืองเซลผิวชั้นหนังกำพร้าทำให้เกิดเป็น รังแค แต่ ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็ซื้อแชมพูขจัดรังแคมาใช้  ซึ่งแชมพูประเภทนี้นอกจากจะมีสาร SLS แล้วยังผสมสารยับยั้งการเจริญเติบโตที่มากผิดปกติของเซลชั้นหนังกำพร้า แต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เมื่อหยุดใช้อาการที่เป็นก็กลับมาเป็นอีก ทำให้เซลผิวต้องสัมผัสกับสารเคมี และถูกกดการทำงานอยู่ตลอด ทำให้เป็น รังแคเรื้อรัง

ครีมนวดผม/ทรีทเม้นท์หมักผม

สำหรับผู้ที่ชอบให้ผมนิ่มลื่น อาจยังไม่รู้ถึงพิษภัยจากสารกลุ่มซิลิโคน (มักมีชื่อลงท้ายด้วย “thicone”) เช่น ไซเมทธิโคน (Simethicone) ไดเอทธิโคน (Diethicone) หรืออื่นๆ เป็นสารเคลือบเส้นผมทำให้ผมนิ่มลื่น เป็นมันวาว มีสปริง หวีง่าย แต่จะตกค้าง เคลือบรูเส้นผม เมื่อใช้ต่อเนื่องนานๆจะเกิดการสะสมอุดตันรูเส้นผม ทำให้เซลผมทำงานผิดปกติ การขับของเสีย การดูดซึมสารอาหารลดลง และทำให้ ผมร่วง เมื่อใช้ในระยะยาว

ที่เลี่ยงยากคือ สารเพิ่มฟอง เพิ่มความข้น ตัวฉกาจที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องใช้คือ DEA (ไดเอทธานอลาไมด์) ซึ่งเกรงกันว่าอาจก่อ มะเร็ง จนในบางประเทศต้องให้ยกเลิกการใช้ สารอีกกลุ่มที่อาจก่อให้เกิด การแพ้ จากการใช้เป็นประจำแต่คนก็ชอบใช้คือ กลิ่นสังเคราะห์หอมๆ  สีสังเคราะห์สวยๆ  และลาโนลิน (Lanolin)

Demodex ไรขนที่คุณอาจไม่รู้

อีกสาเหตุหนึ่งที่คุณอาจไม่รู้คือ ไรขน (Demodex) ซึ่งติดต่อโดยการสัมผัส ตัวไรแพร่พันธุ์ อาศัยอยู่และแย่งกินสารอาหารที่รากผมทำให้ผมขาดสารอาหาร ผมจึงมี ขนาดเล็ก บางลง สีจางลง ขาดความมีชีวิตชีวา และหงอก นอกจากนั้นยังอาจทำลายโครงสร้างของเซลผม ทำให้ ผมร่วง หรือ หงิกงอ

เมื่อตัวไรคืบคลานไปบนหนังศีรษะหรือผิวโดยเฉพาะเวลากลางคืนจะทำให้ท่านที่มีประสาทไว (Sensitive) รู้สึกคันยิบๆ ขณะเดินทางมันจะปล่อยของเสีย และทิ้งคราบที่ลอกออกมา ทำให้เกิดขยะบนหนังศีรษะ หรือผิวหนังของเรา ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรีย ไวรัส และริกเก็ทเซียที่เกาะอยู่ตามข้อต่อเล็กๆ ของขาตัวไร จึงก่อให้เกิดการติดเชื้ออักเสบเป็น สิว หรือ ตุ่มแดง บนหนังศีรษะ และที่สำคัญ หากร่างกายเกิดการต่อต้านของเสียที่ตัวไรขับออกมา และซากตัวไรที่ตาย ทำให้เกิดปฏิกิริยา แพ้ (Sensitization) เช่น แพ้เครื่องสำอาง สบู่ หรือแม้แต่เหงื่อของตัวเอง

และเนื่องจากที่ขาของตัวไรมีเล็บแหลมคมสำหรับเกี่ยวจึงทำให้ผิวหนังเกิดการ ระคายเคืองและมีปฏิกิริยาโต้ตอบ โดยการสร้างผนังเซลผิวชั้นนอกขึ้นอย่างรวดเร็ว(Proliferation of Epithelium) ทำให้ผนังเซลพอกหนาและหลุดร่อนออกมาเร็วกว่าปกติเกิดเป็น รังแคหรือ สะเก็ด บนหนังศีรษะ...

นานาประโยชน์จากโยเกิร์ต..

โยเกิร์ต เป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล เหมาะกับสาวรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด แต่เบื้องหลังหน้าตาสวยใส โยเกิร์ตยังมีความลับที่คุณอาจยังไม่รู้....
คน ที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
โยเกิร์ต ไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
ถึง แม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
จุลินทรีย์ ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
แคลเซียม สูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น
การทาน โยเกิร์ต ที่ ได้ผลที่สุดควรจะทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่

แสงแดดทำลายผิวแต่บำรุงกระดูก !!

ผู้หญิงจะรู้สึกเกรงกลัวแสงแดด เพราะรู้ดีว่าแสงแดดเป็นตัวการทำลายความงาม แถวหน้า ทำให้ผิว หมองคล้ำ เหี่ยวย่น รวมไปถึงฝ้ากระอีกสารพัน หากแต่หารู้ไม่ว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดมากเกินไป มีผลให้ร่างกายเกิดสภาวะโรคกระดูกพรุนได้ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่ไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก กว่าจะรู้กระดูกก็เปราะบางไปเสียแล้ว...
จึงอยากให้คิดใหม่ กลับมาตระหนักถึงประโยชน์ของแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์ วิตามินดี ที่ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินดี ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันสมบูรณ์แข็งแรง
การสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า เพียง 10 -15 นาทีต่อวัน ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน
โรค กระดูกพรุนนั้น สาวๆ รุ่นใหม่ มีอัตราเป็นโรคนี้กันมากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมีพฤติกรรมความเป็นอยู่ที่เสี่ยงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่ การบริโภคอาหารไม่ครบถ้วน หรือละเลยการออกกำลังกาย ส่งผลให้ร่างกายไม่มีการสะสมแคลเซียมเพิ่มเติม แคลเซียมในกระดูกที่มีอยู่ ก็เสื่อมสลายตัวไปเรื่อยๆ จนทำให้โครงสร้างกระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย
ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนสูงกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่แตกต่างกัน
ภาวะ ที่เนื้อกระดูกบางลง ทำให้ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน มักมีอาการปวดหลัง หลังค่อมโก่ง ปวดตามข้อ อาจมีอาการปวดบริเวณที่กระดูกยุบตัวลง กระดูกเปราะ และหักง่าย ผู้สูงอายุจึงต้องระวังการหกล้ม ตำแหน่งที่มักจะเกิดภาวะกระดูกพรุนและหักง่ายคือ กระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก
กระดูกสันหลังของผู้หญิงอายุ 55 – 75 ปี จะเกิดการยุบตัวมากกว่าในผู้ชาย ทำให้ผู้สูงอายุเตี้ยลงกว่าตอนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงพบว่า เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี พบอัตราการเกิดกระดูกสันหลังหักยุบถึงร้อยละ 30
กระดูกสะโพกหักมัก ต้องผ่าตัดรักษา กระดูกสะโพกหักอาจทำให้เดินไม่ได้หรือเสียชีวิตได้ โรคนี้เปรียบเหมือนภัยมืด ค่อยเป็นไปอย่างช้าๆ โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ กว่าจะรู้ตัวก็กระดูกหักเสียแล้ว
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องสะสมกระดูกไว้ให้มากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย โดยรับประทานอาหารที่มีคุณค่าให้แคลเซียมสูงและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การ ป้องกันที่ดีที่สุดคือการสะสมแคลเซียมให้กับกระดูกอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากการรับประทานอาหาร ที่มีแคลเซียมสูง อาทิ ถั่วเหลือง ผักใบเขียว ปลาเล็กปลาน้อยต่างๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีไปช่วยเสริมสร้างแคลเซียม
นอกจากนี้ ไม่ควรห่วงอ้วนมากจนเกินไป ต้องรับประทานไขมันบ้าง จำพวกไขมันชนิดดีที่พบในปลาทะเล หรือน้ำมันจากเมล็ดพืช เพราะวิตามินดีจะละลายได้ดีในไขมัน เหล่านี้นอกจากจะช่วยละลายวิตามินดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่นไม่หยาบกระด้างอีกด้วย ถ้าต้องการความสะดวก การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยเสริมแคลเซียมให้กับกระดูกก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
อย่างไร ก็ตาม ในปัจจุบัน ถ้าใครต้องการรู้ว่าตนเองเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ต้องอาศัยเครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูกเข้ามาช่วย โดยการทำงานของเครื่องจะเอ็กซ์เรย์มวลกระดูกบริเวณ ข้อมือ หรือ ข้อเท้า แล้วประมวลผลออกมาเป็นกราฟ ชึ้ให้เห็นสภาวะของกระดูกได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่จะมีบริการอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง...